เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ มี.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี่วาสนาของคน เห็นไหม หาเวล่ำเวลา จะหาเวลามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ หานะ เพราะเราเชื่อไง เราเชื่อนะ เรามองโลกสิ ถ้ามองทางประวัติศาสตร์นะ เมื่อก่อนทางยุโรปยังไม่เจริญเลย มันจะเจริญตามตะวันออกกลาง ตะวันออกกลางนี้เจริญก่อน แต่เดี๋ยวนี้ตะวันออกกลางไม่เจริญเลย จะไปเจริญอยู่ทางยุโรป โลกนี้มันจะแปรสภาพของมันไปตามอนิจจังไง สภาวะของโลกมันเป็นอจินไตย มันเกิดดับสภาวะแบบนี้ แล้วเราทางวิทยาศาสตร์ก็พยายามพิสูจน์กันนะ ว่าโลกนี้มันมาจากไหน มันแตกมาอย่างไร ไดโนเสาร์ตายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเปลี่ยนแปลงของโลกมันขนาดไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้เป็นอจินไตย สิ่งที่เป็นอจินไตยคือว่ามันเป็นสภาวะของมันอย่างนั้น เราต้องการเรื่องอดีตอนาคต เราอยากจะรู้แต่สิ่งต่างๆ แต่เราไม่รู้เรื่องปัจจุบันของเรา เราไม่รู้เรื่องตัวตนของเรา เรารู้เรื่องอื่นทั้งหมดเลยแต่ยกเว้นเรื่องของตัวตนของเรา เราจะไม่เข้าใจของเราเลย เราถึงต้องแสวงหาไง แสวงหาตัวตนของเราให้ได้ เราถึงว่าต้องมีศรัทธาความเชื่อก่อน ถ้าไม่มีความเชื่อนะ เรามองประเพณีแล้วเราบอกว่า ของนี้เป็นของเก่า ของครึ ของล้าสมัย

ไปทางอีสานเวลาขึ้นไปบนศาลาเขาจะบอกว่า เขตนี้ผู้หญิงห้ามเข้า เขตนี้ผู้หญิงห้ามขึ้นไง บนอาสน์สงฆ์ของเขานี่เขาไม่ให้ขึ้น เพราะอะไร เพราะสถานที่ไง เราเคารพสถานที่ เราเคารพธรรมวินัย เราเคารพประเพณีเท่ากับเคารพเรา เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราเคารพอย่างนั้นมันมีที่สูงที่ต่ำ ดูหัวใจของเราสิ ถ้าหัวใจของเราต่ำนะ หัวใจของเราคิดแต่ทางโลกนี่ เราจะมองเลย สิ่งนี้เป็นเรื่องไร้สาระ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ว่ามันจะต้องเป็นไปได้อย่างไร แต่เขาเคารพกัน เห็นไหม เคารพแม่น้ำ ลอยกระทง สิ่งที่เคารพนี่สิ่งที่ธรรมชาติ สิ่งมีต่างๆ ที่ธรรมชาติ ถ้าเคารพเขามันก็เท่ากับเคารพตัวเอง เพราะมันจะหาตัวเองให้เจอไง สิ่งที่เคารพเขาขึ้นมานี่มันจะมีตัวตนของเราเกิดขึ้นมา เราทำสิ่งนั้นเพื่อเราๆ

เพื่อเรา เห็นไหม เราทำทาน เราทำบุญกุศลก็เพื่อเรา เพื่อเราอะไร เพราะเราหัดฝึกฝนไง ถ้าเราไม่ฝึกฝน เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เชื่อว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา เรารู้สภาวะแบบนี้ พระสารีบุตรฟังพระอัสสชิพูดเท่านี้นะ เห็นพระอัสสชิออกบิณฑบาตมีความนุ่มนวลมาก มีความเรียบร้อยมาก นี่ศาสดาของพระอัสสชินี้คือใคร ตามไปไง พระอัสสชิบอกว่า “เราเพิ่งบวชใหม่ ธรรมที่ลึกซึ้งเรายังไม่รู้ พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องมาจากเหตุ มันมีเหตุ ต้องสาวไปเหตุ ถ้าดับที่เหตุนั้น ผลมันก็ต้องดับไปด้วย” ฟังแค่นี้ เขาถึงกับเป็นพระโสดาบันขึ้นมาเลย

เราก็เหมือนกัน โลกนี้เป็นสภาวะแบบนี้ มันเป็นอจินไตยอยู่ตลอดไป แต่มันเป็นอจินไตยตามสภาวะโลกของมัน แต่เรายึด ใจของเรายึดสิ่งนี้ แต่ว่าเราไม่ยึด เราศึกษาธรรมแล้วเราเข้าใจๆ เราเข้าใจนี่เป็นสัญญา สิ่งที่เป็นสัญญาคือสิ่งที่เป็นจากภายนอก มันไม่เข้าถึงใจของเรา เพราะไม่เห็นตัวตนของเรา เพราะไม่สามารถทำความสงบของใจของเราได้

เราคิดประสาเรานะ คิดประสาเราคิดประสาโลก คิดประสาโลกียะว่าเราเข้าใจ เราศึกษา เหมือนกับเราศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เราศึกษาเราเข้าใจทั้งหมดเลย แล้วเราได้ประโยชน์อะไรสิ่งนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์คือว่าถ้าเราเอามาใช้เป็นประโยชน์ เห็นไหม สิ่งที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ว่าเป็นเครื่องยนต์กลไกอำนวยความสะดวก มันได้เท่านั้น แต่ได้เท่านั้นเราก็ว้าเหว่ เราก็เศร้าสร้อย จิตใจ เห็นไหม คนเราแต่โบราณต้องทำมาหากิน ต้องพยายามค้นคว้ากว่าอาหารจะสำเร็จแต่ละมื้อๆ นี่เวลามันหมดไป เดี๋ยวนี้ทุกอย่างใช้กดปุ่มหมดเลย คนเรามีเวลาว่างมาก ดูอย่างเด็ก เห็นไหม เวลาว่างมาก แล้วมันจะออกไปเล่นตามประสาเด็กของเขา เขาต้องหากีฬา หาสิ่งต่างๆ เพื่อจะให้เด็กมีความสนใจ

คนเราก็เหมือนกัน ถ้าเวลาชีวิตของเรามันมีเวลาว่างมาก มันก็คิดถึงเรามาก มันจะเศร้า ว้าเหว่มาก สิ่งที่ว้าเหว่เพราะใจไม่มีที่พึ่ง เพราะเราไม่เห็นคุณค่า มาวัดให้วัดใจ วัดไม่เหมือนบ้าน บ้านไม่เหมือนวัด ถ้าอยู่ที่บ้านเรา เราจะอิสรเสรีภาพ เราจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นวัด วัดเป็นที่อยู่ของผู้มีศีล ผู้มีศีลผู้มีธรรมผีย่อมคุ้มครอง นี่โลกเขาว่ากันอย่างนั้น แต่ทำแล้วเทวดาคุ้มครองไง มีเทพมีเทวดาคุ้มครอง สิ่งนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ถึงว่าผู้หญิงห้ามขึ้น เพราะความเคารพของเขา เป็นประเพณีของเขามา แต่ผู้หญิงขึ้นก็ขึ้นได้เพียงแต่ว่ามันเป็นความเคารพความเลื่อมใส

ความขึ้นได้นี่เป็นความประสาเรา เราว่าสิ่งใดๆ มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ถึงที่สุดแล้วไม่มีหญิงไม่มีชาย ความเคารพของเรา เห็นไหม เวลาเราทำความสงบของเรา ถ้าจิตสงบเข้าไปนี่สมาธิมีหญิงมีชายไหม สมาธิก็คือความรู้ของใจ ความรู้ของใจมีหญิงมีชายไหม ไม่มีหญิงมีชาย เวลาจิตสิ้นจากกิเลสไปมีหญิงมีชายไหม เพราะไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่มีสิ่งใดเลย สภาวะนี้เป็นสภาวธรรมทั้งหมด

สิ่งที่เป็นสภาวธรรมทั้งหมดมันต้องอาศัยสิ่งที่เข้าไป เข้าไป เห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา เรื่องความเป็นไป อนัตตาสิ่งที่เกิดขึ้น เราเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นอนัตตา แต่เวลาเกิดดับในหัวใจเราไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นอนัตตา เรายึดของเราทั้งหมดไป เรามีความเห็นนะ เวลามันมีความฟุ้งซ่าน เวลามันมีความทุกข์ เวลามันเกิดขึ้น ทำไมมันทุกข์มาก เวลามันหายไปมันจะทุกข์ไปอย่างไร นี่มันก็เข้าใจได้แค่นี้ แต่ไม่สามารถควบคุมได้ไง ไม่สามารถชำนาญในวสีไง เราไม่มีสติ ไม่มีสิ่งที่ควบคุมใจนี้เข้ามา

ถ้าเราฝึกหัดสติ เห็นไหม ทุกคนต้องฝึกหัดเอง ทุกคนเวลากินข้าวอิ่มเองจากใจดวงนั้น กระเพาะอันไหนมีอาหารตกเข้าไปในกระเพาะ กระเพาะนั้นก็มีรสชาติมีความอิ่มเต็มของมัน ใจก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงใจต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เราศึกษาธรรมเข้ามา เราศึกษามา เราเอาสัญญาเข้ามา เราว่าเรารู้ๆ เรารู้นั้นเป็นภาคปริยัติ เป็นแผนที่เครื่องดำเนิน แต่เกิดการปฏิบัติขึ้นมามันจะเกิดเป็นปฏิเวธะ สิ่งที่เกิดปฏิบัติมันถึงว่า เกิดจากใจดวงหนึ่งให้อีกใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นส่งธรรมดวงนั้นจากใจดวงนั้นให้กับใจดวงต่อๆ ไป ถ้าใจดวงนั้นเข้าถึงธรรมจะรู้สภาวะแบบนั้น ถ้าใจดวงนั้นเข้าไม่ถึงธรรม มันก็เป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของสัญญา เป็นเรื่องของการจำได้หมายรู้สิ่งต่างๆ เข้ามา

สิ่งต่างๆ เข้ามามันก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง เหมือนกับคนที่ไม่รู้เลย มันก็มีความลังเลสงสัย คนรู้มันก็มีความเข้าใจ แต่รู้แล้วก็ยึด เห็นไหม กิเลสมันสำคัญตรงนั้น รู้แล้วยึดความเห็นของตัว ยึดความเห็นว่าเป็นของตัว แล้วมันก็เป็นอนิจจัง ความเห็นนี้ก็เป็นอนิจจัง ความเข้าใจนี้ก็เป็นอนิจจัง เดี๋ยวก็ลืม ต้องพยายามทบทวนเข้ามา ทบทวนเข้ามา เห็นไหม สิ่งที่ทบทวนเพราะมันเป็นสัญญา มันเป็นขันธ์ ขันธ์เกิดดับกับใจ แต่อริยสัจนี้มันเกิดที่ใจ เกิดที่ใจ เห็นไหม พระอรหันต์ลืมได้หลงได้ในบัญญัติในสมมุติ สมมุตินี้หลงได้ หลงก็ไม่เข้าใจตามนั้นไง

อย่างเช่น พระอรหันต์ เห็นไหม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หมอชีวกเป็นผู้รักษา นี้ก็เหมือนกัน พระอรหันต์ไม่เข้าใจเรื่องของยาของสารเคมีต่างๆ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติ มันเป็นสมมุติอยู่สภาวะแบบนั้น ไม่เข้าใจสิ่งนั้นได้ แต่อริยสัจในหัวใจนี้แน่นอน สิ่งนี้กระเพื่อม จิตเสวยอารมณ์ เสวยความกระดิกของใจ สติพร้อมไปตลอด สติมันจะพร้อมกับจิตดวงนี้ จิตดวงนี้จะเข้าใจความเป็นจริงของใจดวงนี้ แล้วทุกข์อะไรมันจะเกิดขึ้นมาได้ล่ะ เพราะมันมีสติพร้อม ว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์

แต่เวลา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลนะ สัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรจะมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาถึงกลางคืน แล้วก็พยายามจะหาที่พักอาศัยกัน ส่งเสียงดังมาก สมัยนั้นพระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นาคิตะ นั้นใคร เหมือนชาวประมงเขาหาปลากัน ไม่มีความสำรวม ไม่มีความระวัง มีแต่ความกระทบกระทั่งกัน มีแต่ความต้องการที่อยู่อาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ให้พระนาคิตะไล่พวกนี้ออกไป ไล่ออกไป

เวลาจะสอน การแสดงกิริยาออกมาอย่างนั้นเป็นกิริยาการสั่งสอน แต่เวลาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกิเลสไหม? ไม่มีกิเลสเลย แต่ทำไมไล่พระลูกศิษย์ของพระสารีบุตรออกจากวัดไป เพราะว่าส่งเสียงดังเหมือนชาวประมงเขาหาปลากัน จนสุดท้ายแล้วเทวดามาขอโทษพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงบอกให้ไปตามพระพวกนั้นกลับมา เทศน์ให้พระพวกนั้นฟัง ว่าพระเรา เวลาก้าวเดินอยู่ศีลธรรมนี้จะต้องกอดไปตลอดไป ข้อวัตรปฏิบัติต้องมีไง วัตรปฏิบัติเครื่องดำเนิน ถ้าเรามีเครื่องดำเนินเราจะถึง

นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีนี้ถ้าเป็นเครื่องดำเนิน ประเพณีนี้ประเพณีของโลก แต่ถ้าอริยประเพณี ธุดงควัตรนี้เป็นอริยประเพณี อริยวินัย สิ่งที่เป็นอริยประเพณี อริยวินัย เพราะเราจะเข้าถึงใจของตัวเองต้องอาศัยสิ่งนี้ย้อนกลับเข้ามา เวลาเราจะต้องการหาภาชนะใส่สิ่งของต่างๆ เราต้องหา เห็นไหม นี้เราต้องหาใจของเรา ถ้าใจของเราสงบขึ้นมา ใจของเรามีสติขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิยกขึ้นวิปัสสนาจะย้อนกลับเข้ามา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดำเนินมา สิ่งนี้ยังเป็นอนัตตาอยู่จนถึงที่สุดมันทำลายสิ่งต่างๆ เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปเป็นอกุปปะ นี่พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา ดับจากใจไง

เราเห็นแต่วัตถุ เห็นไหม สิ่งที่ว่าวัตถุเกิดมา อย่างรถเราซื้อมา มันต้องเสื่อมสภาพไปธรรมชาติของมัน มันต้องเสื่อมสภาพไป แต่เราไม่เคยเห็นว่าใจที่มันเสื่อมสภาพ สิ่งที่ยึดมั่นมันเสื่อมสภาพ แต่ผู้รู้ที่อยู่ในใจลึกๆ นั้นไม่เสื่อมสภาพ ธาตุรู้นี้มีอยู่ตลอดไป ธาตุรู้มีอยู่ในใจทุกดวงใจ ทุกดวงใจจะมีหัวใจสิ่งรับรู้นี้ นี่คงทน สิ่งที่จิตไม่เคยตาย ไม่เคยตายอันนี้ แต่ตายจากภพชาติไง ตายจากโลกสมมุติไง ตายจากวัฏฏะ เห็นไหม เวียนไปตามวัฏฏะเพราะเกิดตายๆ ในวัฏฏะนั้น แต่ตัวจิตตัวธาตุรู้นี้จะไม่เคยตายเลย จะแปรสภาพตลอดไป สิ่งนี้มันเป็นไปตามอันนั้น สิ่งนี้มีอยู่ แต่สิ่งนี้เป็นเอกเทศนะ ไม่ต้องไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ไม่ต้องอ้อนวอนสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ทำดี ให้พยายามสร้างมรรคของเราขึ้นมา สร้างเอโก ธัมโมไง จิตนี้ถ้ามีเอโก ธัมโม มีทางอันเอก พ้นออกไปจากนี้ แล้วเราต้องสร้างขึ้นมามันถึงเป็นสมบัติส่วนตนไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้าปรินิพพานไปแล้วก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ว่าเมื่อใดจะหมดเขตหมดแดนไง อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย เราปรินิพพานไปก็เอาแต่ธรรมของเราไปด้วย ธรรมของพระสารีบุตร ธรรมของอัครสาวกต่างๆ ก็เป็นของบุคคลคนนั้น เวลาคนๆ นั้นสิ้นไป เพราะสิ้นจากธาตุสิ้นจากสมมุติ เศษส่วนที่เหลืออยู่ ขันธ์ที่เป็นธรรมชาติอยู่นี้สลัดทิ้งไป ใจก็พ้นออกไป แต่ในเมื่อครองธาตุครองขันธ์อยู่ มันก็ใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับโลก สิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลกมันจะไม่เป็นโทษกับใจดวงนั้นเลย ใจดวงนั้นจะมีความสุขมาก

วัฒนธรรมประเพณี ถ้าเรารักษามันจะรักษามาอย่างนั้น อย่าไปยึดมัน ถ้าเราจะเริ่มต้นก้าวเดินนะ เริ่มเดินก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่หนึ่งนี้เราก็ยึดไว้ เราจะไม่มีก้าวที่สอง ก้าวที่สามตลอดไป ประเพณีเราก็ยึดประเพณีมา แต่ถึงแล้วเราก็ต้องปล่อยมาๆ เพราะเราไปยึดประเพณีนั้น ใจเราก็อยู่ตรงนั้น ใจเราไม่ก้าวเดินออกไปเลย แต่ถ้าเราปล่อยสิ่งนั้นเข้ามา ใจมันจะสงบเข้ามาๆ แล้วเราพยายามยกขึ้นวิปัสสนาได้ ถ้าวิปัสสนาได้จะเกิดปัญญาของเรา ปัญญานั้นคือตัวพลังงานของเรา พลังงานของเราคือทำใจของเราให้กิเลสยุบยอบลงมาก่อน แล้วกิเลสนี้จะขาดไปเพราะด้วยมรรคสามัคคีที่ปัญญานี้มันมารวมตัวกัน นี่ธรรมจักรมันหมุนอย่างนั้น แล้วทำลายใจอย่างนั้นพ้นออกไป .

ความสุขอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากใจของเรา ใจของเราจะมีธรรมชาติอันนี้ ถ้าเราศึกษา เราเล่าเรียน แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราพยายามนั่งนะ กำหนดพุทโธๆ นะ ทำของเรา ทานส่วนทาน อันนี้เป็นอามิส เป็นการขับเคลื่อน เป็นความศรัทธาดึงเราเข้ามาฟังธรรม แต่ถ้าจิตเราปฏิบัติขึ้นมาแล้ว อันนี้เป็นสมบัติของเรา นี่ไม่ต้องฟังใคร ไม่ต้องให้ใครการันตี ไม่ต้องให้ใครมารับรองสิ่งนี้ สิ่งนี้จะเป็นจริงกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นรู้จักดวงนั้นเป็นปัจจัตตังจากใจดวงนั้น เอวัง